วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

หินที่ขาดการใส่ใจ....

หลังจากที่กระแสแฟชั่นนิยมการใส่หินมงคลเริ่มจางไป ปริณก็เริ่มสังเกตได้ว่า คนใส่หินกันน้อยลง จากที่เมื่อก่อนหันไปทางไหน เกือบทุกคนจะมีหินที่ข้อมือกันอย่างน้อยคนละเส้น สองเส้น จึงทำให้เกิดความสงสัยนะคะว่า หินที่เคยอยู่บนข้อมือท่านเหล่านั้น บัดนี้ไปอยู่ที่ไหน



บางคนอาจจะใส่กล่อง ใส่ถุง เก็บไว้กับเครื่องประดับอื่นๆ ที่มีอยู่ บางคนอาจไปวางไว้บนหิ้งพระ บางคนอาจโยนๆไว้ในลิ้นชัก หรือบางคนอาจจำไม่ได้แล้วว่าไปถอดวางไว้ตรงไหน ในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี้ บางทีก็เป็นดาบสองคมค่ะ

นึกถึงบ้านร้างผีดุ ทำไมบ้านร้าง มักมีผีดุอาศัยอยู่ ตอนแรกบ้านก็เป็นบ้านธรรมดา แต่พอรกร้างไม่มีคนอยู่ปุ๊บ ผีดุขึ้นมาเลย (ไม่นับรวมบ้านที่มี Story นะคะ^^) ส่วนหนึ่งก็เพราะพลังงานไม่ไหลเวียนนั่นเอง ตามหลักฮวงจุ้ย คือศาสตร์แห่งการไหลเวียนพลังงานให้สมดุลและเป็นคุณกับคนหรือสถานที่นั้น ๆ บ้านร้างที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย จะเป็นสถานที่ที่พลังงานไม่ไหลเวียน พลังบวก พลังลบไม่สมดุล เราจะสังเกตได้ว่าเวลาไปในสถานที่แบบนี้จะรู้สึกอีดอัด เหม็นอับ ไม่สบายตัว บางคนปวดหัว หรือถึงขึ้นวังเวง และตามความเชื่อ สถานที่หรือสิ่งของที่ถูกทิ้งไว้อย่างไร้การบำรุงรักษาหรือสนใจนี้ ก็จะกลายเป็นที่สถิตย์ของพลังงานด้านลบที่ไม่พึงปรารถนาได้



หินก็เช่นเดียวกันค่ะ หากเราเชื่อว่าหินเป็นสิ่งที่ดูดทรัพย์พลังงานได้ดี ก็ต้องพยายามทำให้พลังงานที่หินจะรับนั้นดีด้วย อยากให้หินดึงดูดเงิน พาหินไปแหล่งเงินบ่อยๆ อยากให้หินดึงดูดรัก พาหินไปในที่ที่อบอวลด้วยความรักโรแมนติก เป็นวิธีคิดที่เข้าใจง่ายมากๆ แต่ในทางตรงกันข้าม หากวางหินไว้อย่างไร้การเหลี่ยวแล ในมุมอับๆ มืดๆ มุมใดมุมหนึ่งนานๆ ก็ไม่ทราบได้นะคะ เค้าจะดึงดูดพลังด้านลบอะไรบางอย่างมาสถิตย์ไว้ก็เป็นได้......

แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี หากไม่ได้ใส่หินแล้ว ปริณแนะนำดังนี้ค่ะ

1. ถ้าคิดว่าจะไม่ใส่อีกแล้ว เพราะใส่ไปตามแฟชั่น ไม่ใช่เชื่อถืออะไรเกี่ยวกับพลังงานมากนัก พอดาราคนมีชื่อเสียงเลิกใส่ก็ไม่อยากใส่แล้ว ไปใส่สร้อยข้อมือตามแฟชั่นดีกว่า ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ หินที่มีก็ "ให้คนอื่น" ไปเลยค่ะ ให้คนที่เค้าอยากได้ และจะดูแลได้ดีกว่าเรา เรียกว่า หาบ้านใหม่ให้น้องหินไปเลยค่ะ

2. ยังจะใส่อยู่ แต่ไม่ใส่ทุกวันแล้ว เพราะอยากใส่อย่างอื่นบ้าง ก็ให้หมั่นนำหินมาล้างบ่อยๆ ค่ะ ล้างน้ำก๊อกธรรมดาๆ นี่แหละ ล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้งตามธรรมชาติ แล้วก็หากล่อง หรือถุงสวยๆ มาเก็บไว้ให้เป็นที่เป็นทาง



การเก็บก็ไม่ถึงกับต้องวางบนหิ้งพระหรอกนะคะ ปริณมีความเชื่ออย่างหนึ่งเป็นการส่วนตัวว่า หิ้งพระเป็นพลังพุทธคุณ แต่หินเป็นพลังกิเลสทางโลก ต้องการความรัก ต้องการเงินทอง ต้องการอำนาจวาสนา ปริณจะวางแยกจากพระค่ะ

แต่ทางที่ดีที่สุดที่จะแนะนำคือทางที่ 3 ค่ะ

ใส่หินทุกวัน เพราะกระแสแฟชั่นมาแล้วก็ไป แต่พลังงานของหินไม่ไปไหน ยังอยู่ที่เดิม และพลังจะมากขึ้นเรื่อยตามแรงศรัทธาและการปฏิบัติตัวที่ดีงามของเจ้าของ คนที่ยังใส่หินมาถึงปัจจุบัน ปริณของเรียกคุณว่า "มนุษย์หินตัวจริง" ไม่ใช่เจ้าแม่แฟชั่น ลงทุนซื้อหินมาราคาแพงๆ เพราะเชื่อและชอบในความเป็นหิน เครื่องประดับหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่เหมือนกันเลยสักชิ้นเดียว คนมีเอกลักษณ์ และมีสไตล์เป็นของตัวเอง จะเป็นแบบนี้ค่ะ ชอบอะไรไม่เหมือนกันใคร ยุคนี้ใส่เพชรใส่ทองก็อันตราย ใส่หินนี่แหละค่ะ ไม่หนักแขนแบบไร้ประโยชน์ แต่ยังได้พลังงานส่งเสริมด้วย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็ใส่เค้าไว้ทุกวันนะคะ .... มาเป็นมนุษย์หินด้วยกันค่ะ

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com 

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เพิ่มพลังให้หินมงคลอย่างไร..ให้ปัง..ให้เฮง

ขั้นตอนการได้หินมาว่าสำคัญแล้ว ขั้นตอนก่อนที่จะนำหินมาสวมใส่ก็สำคัญไม่แพ้กันนะคะ
เพราะตามหลักของพลังงาน หินที่มาจากแต่ละแหล่งทั่วโลก ไม่รู้ว่ามีพลังของอะไรติดมาบ้าง
ร้านจำหน่ายหินในต่างประเทศบางร้าน ไม่อนุญาตให้สัมผัสเลือกชมหินเลยค่ะ
หินจะอยู่ในตู้โชว์ และเมื่อคุณเลือกจะเป็นเจ้าของแล้ว จึงจะได้สัมผัสหินเส้นนั้น

หลายคนอาจสงสัยว่าความเชื่อหรือหลักคิดนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
ให้คุณนึกถึงอาถรรพ์ของเครื่องประดับต่างๆ เช่น อาถรรพ์แหวนประจำตระกูล หรืออาถรรพ์ติดมากับเพชร นิล จินดา ของโบราณ ตำนานเล่าขานเรื่องราวเหล่านี้มีเยอะนะคะ ลองหาอ่านกันได้ หรือคุณอาจจะเคยได้ยินคนโบร่ำโบราณบอกสอนเราว่า ไปสถานที่โบราณสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปหยิบอะไรกลับมานะ บางคนไปเก็บก้อนหินจากโบราณสถานมาถึงบ้านฝันว่ามีคนมาทวงคืน เรื่องราวทำนองนี้เราก็ได้ยินมามากมาย หรือบางคนก็เคยประสบพบเจอกับตัวเองมาแล้ว...ใช่ไหมคะ



นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเมื่อเราได้หินมาแล้ว จึงต้องมีการชำระล้างพลังลบที่ติดมา หรือพลังแห่งเจ้าของเดิม หรือผู้ใหญ่เคยเมตตาสอนปริณไว้เรื่อง พลังปรมณูธาตุ ที่มีทั้งดี และไม่ดี ทุกครั้งก่อนที่ปริณจะนำหินมาร้อยและส่งต่อ จึงต้องนำหินไปล้างในทะเลก่อน ไปทะเลจริงๆ เพราะเราจะได้พลังธาตุทั้ง 4 ครบถ้วน ทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ปริณไปทุกรอบค่ะ ได้หินมาจะมากน้อยก็ต้องไปทะเล ไปเพื่อความสบายใจของเรา ว่าหินที่ผ่านมือเราไปนั้น ไม่มีพลังลบติดไปด้วย


หลังจากชำระล้างแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไป คือการเพิ่มพลังบวก เพิ่มสิริมงคล ซึ่งก็มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น เพิ่มด้วยพลังจิต เพิ่มด้วยเสียงและพลังธรรมชาติ เพิ่มด้วยเสียงเพลงบรรเลง เพิ่มด้วยเสียงสวดมนต์ เพิ่มด้วยการปลุกเสกจากเกจิอาจารย์ เพิ่มด้วยการนำหินไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ เพิ่มด้วยการใส่หินไปทำบุญหรือปฏิบัติธรรม ฯลฯ

แต่ในบทความนี้ปริณจะขอพูดถึงเรื่องการเพิ่มพลังหินด้วยการ "ฟังเสียงสวดมนต์"

เสียงสวดมนต์ที่ขลังที่สุด คือ "เสียงของตัวเราเอง" ค่ะ ขลังมาก เพราะสวดเองต้องใช้ความอดทน ความมุ่งมั่น เพราะสวดมนต์ไม่ใช่สวดวันเดียว ต้องสวดเป็นประจำต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ต้องมีวินัย มีความปิติยินดีที่จะสวด สิ่งนี้จะส่งเป็นพลังได้ดีมากออกมาจากตัวเราเองถือว่าเยี่ยมที่สุด เพราะเราสวดแบบไม่ต้องถวายปัจจัยให้ตัวเอง เป็นการสวดมนต์ที่บริสุทธิ์มาก ขณะสวดก็ให้นำหินมาวางไว้ใกล้ๆ ค่ะ ให้เค้าได้ซึมซับพลังงานดีๆตรงนี้ไปด้วย

แต่...ในยุคปัจจุบันที่ชีวิตเราค่อนข้างเร่งรีบ ยุ่งเหยิง ไม่ค่อยมีเวลา กลับถึงบ้านกว่าจะเสร็จภารกิจต่างๆ ก็ง่วงแล้ว นอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ (ใครเป็นแบบนี้ยกมือขึ้น.....โอ้ว..ประมาณล้านแปดแสนคน) จึงมีบางคนค่ะ หัวใสใช้วิธีใหม่ อาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย นั่นก็คือการเปิดเสียงสวดมนต์จากเครื่องเล่นแทน ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ปริณใช้เป็นประจำ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาสวดมนต์ด้วยตัวเอง ถามว่าใช้ได้ไหม ใช้ได้ค่ะ ปริณเคยคุยเรื่องนี้กับผู้รู้หลายท่าน ก็ตอบว่าใช้ได้ ถึงจะไม่ดีเท่าเราสวดเอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

ทีนี้...ถ้าใครใช้วิธีนี้ ปริณก็จะขอแนะนำเพิ่มเติมสักนิดนึง ในเรื่องของการเลือกบทสวดมนต์ที่คุณจะเปิด หรือจะสวดก็แล้วแต่นะคะ พูดถึงการสวดมนต์ก่อนนะคะ ปริณก็ได้รับคำแนะนำมาหลากหลายเหลือเกิน ญาติผู้ใหญ่ปริณหลายๆ คนบอกว่า อย่าสวดเยอะ อย่าสวดบทใหญ่ เพราะศีลเราไม่พอ บารมีเราไม่ถึง บางบทต้องให้พระเป็นผู้สวด ถ้าเราสวดผิดๆ ถูกๆ จะยิ่งทำให้แย่ ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ... เอาละซิ ทีนี้จะสวดอะไรล่ะ นะโม 3 จบ อะระหังสัมมา...อิติปิโส แค่นี้ได้ไหม ... อันนี้ท่านผู้ติดตามไปศึกษาเพิ่มเติมกันเองนะคะ แต่ที่ปริณจะเล่าต่อไปนี้คือจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาค่ะ



1. ในเมื่อบทใหญ่ๆ เราสวดเองไม่ได้ เราก็ใช้วิธีเปิดเสียงสวดมนต์ของพระที่เค้าบันทึกเสียงไว้ในการสวดในงานต่างๆ ค่ะมาเปิดแทน แต่ต้องเลือกบทให้ดี บางบทไม่เหมาะจะเปิดให้หินฟังเพราะเป็นบทปลงอนิจจัง ละแล้วซึ่งกิเลส เรายังมีกิเลสค่ะ ยังอยากได้เงินได้ทอง ได้ความรัก ได้ความเมตตา เลือกบทที่ส่งเสริมแต่ละด้านนะคะ แล้วจะดูได้จากไหน? ไม่ยากค่ะ เสริชในเน็ตเลยค่ะ "คำแปลบทสวดมนต์ ....(ชื่อบทอะไรก็ว่าไปค่ะ)" ชินบัญชร พาหุงมหากา มหาเมตตาใหญ่ ฯลฯ เสริชดูค่ะ แล้วเลือกให้ถูกจริตของสิ่งที่ท่านต้องการ

2. เราสวดเอง สวดบทที่เกี่ยวกับเงินทองโชคลาภค้าขายล้วนๆ เลยค่ะ จัดไป...

3. หาบทที่ถูกโฉลกกับคุณ ... ถึงแม้ว่าจะมีผู้รู้บอกเราว่าไม่ควรสวดมนต์บทใหญ่ๆ เกินศีล เกินบุญบารมีของเรา แต่ปริณก็ชอบทดลองค่ะ ลองสวดบางบทที่อยากสวด แล้วสังเกตค่ะ ว่าสวดแล้วเป็นยังไง สวดแล้วเงินเข้าดีไหม หรือสวดแล้วทั้งวันไม่มีคนไลน์หาเลย...อ่ะ อันนี้ก็ไปสังเกต และทดลองกันเองค่ะ

4. เปิดบทสวดสรรเสริญพระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี เทพต่างๆ ที่ท่านนับถือ เพราะเทพยังต้องการสั่งสมบุญบารมีค่ะ ท่านยังไม่หลุดพ้นเป็นพระโพธิสัตย์ หากท่านได้ช่วยมนุษย์ มนุษย์ทำบุญให้ท่านสรรเสริญท่านก็จะยิ่งมีบารมี ท่านยังช่วยเราเลือกทางโลกได้ (...อันนี้ก็มีผู้รู้ว่ามา ท่านใดมีความรู้แขนงนี้เพิ่มเติมคุยแลกเปลี่ยนกับปริณได้นะคะ...)

ทั้ง 4 ข้อนี้ก็ลองนำไปใช้กันดูค่ะ ได้ผลอย่างไร ช่วยกลับมาเล่าให้ฟังกันด้วยนะคะ อย่าให้ปริณคุยอยู่คนเดียวแลกเปลี่ยนกันค่ะ บางเรื่องเราก็ลองผิดลองถูก บางเรื่องมีผู้รู้บอกมา แต่เราก็ยังต้องลองทดสอบด้วยตัวเองอยู่ดี เพราะเรายึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า

  1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
  2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
  3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
  4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
  5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
  6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
  7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
  8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
  9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
  10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น



ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับพลังหินและสิ่งอันเป็นมงคลที่ท่านบูชาค่ะ

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com 

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Kyanite หินปลดหนี้...ได้อย่างไร?

เชื่อว่าคำถามนี้คงจะเกิดขึ้นในใจของใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพลังของสิ่งเหล่านี้ หรือแม้แต่ผู้ซึ่งใส่หินเป็นเครื่องประดับประจำตัวอยู่แล้วก็ตาม "ใส่หินแล้วจะปลดหนี้ได้จริงหรือ"

ต้องขอบอกก่อนว่า ในบทความนี้เราจะไม่คุยเรื่อง "หินมีพลังหรือไม่" หรือ "พลังของหินคืออะไร" "พิสูจน์ยังไง" "มาจากไหน" เราไม่คุยนะคะ เพราะผู้อ่านสามารถติดตามเรื่องเหล่านั้นได้ในบทความ "คุณหินที่รัก" ของปริณที่เราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ ส่วนในครั้งนี้ เราจะคุยกันเรื่องของหิน Kyanite หรือปลดหนี้กันต่อค่ะ (Cr.ชื่อหินปลดหนี้ อ.จุฑามาศ ณ สงขลา เป็นผู้บัญญัติ เพื่อให้เรียกง่าย จำง่าย)

ชื่อของหิน Kyanite มาจากภาษากรีก หมายถึง สีน้ำเงิน ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องแก้วเจียรไน และการทำเครื่องปั้นดินเผา แต่ด้วยความแวววาวและมีสีน้ำเงินซึ่งคล้ายกับไพลิน ซึ่งเป็นอัญมณีที่เสริมอำนาจ เสริมความแข็งแกร่ง และเสริมการมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ไคยาไนท์จึงถูกนำมาเป็นเครื่องประดับทดแทนไพลิน เพราะราคาจะถูกกว่าไพลินมาก



ในทางความเชื่อ ไพลินและไคยาไนท์ ถูกจัดให้เป็นอัญมณีที่ช่วยเสริมดวงชะตาของผู้เป็นเจ้าของให้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ไม่ย่อท้อ ไม่โลเล เสริมความมีอำนาจ และส่งเสริมให้เอาชนะสิ่งต่างๆที่กำลังฝ่าฟันได้อย่างเด็ดขาด เรียกว่าชนะอย่างถาวร

จึงเหมาะสำหรับการช่วยส่งเสริมให้คนที่มีภาระหนักในชีวิต เป็นหนี้เป็นสินอยู่ ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ฝ่าฟันอุปสรรค ขยันทำมาหาเงินจนสามารถใช้หนี้ได้สำเร็จนั่นเอง

พูดถึงเรื่องหนี้สินเนี่ยะนะคะ คนไม่เคยเป็นหนี้ไม่ทราบหรอกค่ะว่ามันกดดันแค่ไหน ไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่บางครั้งมันก็จำเป็น บางคนเป็นหนี้เพราะการลงทุน ซึ่งก็ดีหน่อยเพราะอย่างน้อยก็ยังได้ต่อยอดในธุรกิจ มีโอกาสได้เงินไปใช้หนี้ และยังมีกำไรจากธุรกิจที่ทำ บางคนเป็นหนี้เพราะกู้ซื้อบ้าน ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ก็ดีค่ะเพราะเป็นหนี้ที่ทำให้มีทรัพย์สิน บางคนอาจจะกู้เงินซื้อรถ ถ้าซื้อมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ก็ถือว่าเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ถ้ากู้ยืมมาใช้จ่าย หรือเป็นหนี้บัตรเครดิต อันนี้ก็หนักหน่อย เพราะหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แถมดอกเบี้ยก็สูงปรี๊ดอีกด้วย

นี่ละค่ะ เป็นที่มาของการที่ใครบางคนต้องหาพลังส่งเสริม คนเป็นหนี้ต้องมีพลังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะคุณจะเหนื่อยจากการที่ทำงานได้เงินมาแล้ว แต่ต้องนำเงินนั้นมาใช้หนี้ บางทีมันก็หมดกำลังใจกันได้เหมือนกัน จนทำให้บางคนต้องคิดแบบปลงๆ ว่า "คงเป็นกรรมเก่า เราคงเคยติดหนี้ใครไว้ เลยต้องมาชดใช้ชาตินี้" ... เคยคิดแบบนี้ไหมคะ?

ในด้านโหราศาสตร์ ไคยาไนท์ถูกจัดให้เป็นหินอัญมณีประจำดาวเสาร์ ซึ่งหากท่านใดได้ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาว ดาวเสาร์ในศาสตร์สากล ถือเป็นหนึ่งในดาวกรรมเก่า การอ่านแผนผังดาวเกิดเพื่ออยากรู้กรรมเก่า ก็จะต้องหาว่าดาวเสาร์โคจรอยู่ในภพใด เรือนใด เพื่ออ่านว่าคนนี้มีกรรมเก่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร และในชาตินี้ควรจะแก้ไขสิ่งที่ติดค้างนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นในความเข้าใจของปริณ การใส่หินไคยาไนท์ติดตัวไว้ ก็อาจจะทำให้บุคคลนั้นสื่อสารกับพลังของดาวเสาร์ได้ดีขึ้น ได้เกิดความรู้และเข้าใจตัวตนมากขึ้น ว่าเราเป็นหนี้เพราะอะไร สื่อสารกับตัวตนภายในได้ชัดเจนขึ้นว่า นิสัยเราส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงใหม่ อะไรมากไป อะไรน้อยไป อาจจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่ติดค้างในใจเราที่เป็นตะกอนติดตัวมาก็ได้ว่าเราติดค้างเรื่องอะไรไว้ จึงส่งผลให้ชาติหนี้ต้องเป็นหนี้เป็นสิน

มีคนถามปริณขำๆ แต่แอบแรงว่า "เอาเงินที่ซื้อหินปลดหนี้ ไปใช้หนี้ดีกว่าไหม" ปริณก็ตอบไปว่า คนที่หาหินปลดหนี้มาใส่แสดงว่ามีความอยากใช้หนี้อย่างแรงกล้า ไม่งั้นต่อให้ไม่นำเงินมาซื้อหินก็คงไปใช้อย่างอื่นหมดอยู่ดี ถ้าไม่คิดจะใช้หนี้  ส่วนคำถามที่ว่า "ถ้าหินปลดหนี้ได้จริง ควรใส่ทั้งประเทศ โดยเฉพาะแบงค์ชาติ ประเทศจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้" คำถามนี้ต้องตอบด้วยคำถามค่ะว่า "จะลองดูไหมล่ะคะ" เหมือนฮ่องกง สิงคโปร์ไง วางฮวงจุ้ยทั้งประเทศ รวยไหมละคะ?

......

สิ่งหนึ่งที่ปริณพยายามบอกทุกคนที่มีโอกาสคุยด้วย หรือได้ฟังรายการวิทยุที่ปริณจัดอยู่ทุกวันก็คือ การใส่หิน เป็นการปรับพลังในจิตเราให้สมดุล เพื่อให้เรามีสติ และเข้าใจตัวเองมากขึ้น อย่างหิน ไคยาไนท์ ในด้านของอารมณ์ พลังเค้าจะส่งเสริมการปรับทัศนคติให้ผู้สวมใส่คิดบวก ไม่คิดในด้านลบ ซึ่งจุดนี้เอง ที่ปริณมองว่าสำคัญมากๆ สำหรับการที่ใครสักคนอยากจะสร้างฐานะ เพราะคนคิดบวกและเห็นโอกาสในวิกฤติเท่านั้น ที่จะพลิกชะตาตัวเองได้เหมือนพลิกฝ่ามือ

วิธีสำรวจตัวเอง ว่าเราจะรวยไหม???

1. เวลามีคนมาบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี เราพูดว่าอย่างไร
2. เวลามีคนถามว่าสบายดีไหม เราตอบว่าอย่างไร
3. คุณชอบพูดคำว่า "ไม่มีเงิน" หรือไม่
4. คุณชอบพูดคำว่า "แพงจัง" หรือไม่
5. คุณเฝ้าบอกตัวเองว่าเป็นคน "หนี้เยอะ" หรือไม่

แค่ 5 ข้อนี้ ก็รู้แล้วค่ะว่าคุณจะรวยไหม และจะหมดหนี้หมดสินไหม

1. คนที่ชอบคล้อยตามข่าวสารร้ายๆ เช่น เศรษฐกิจไม่ดี จะไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีไอเดียทำอะไรใหม่ๆ เลย จะห่อเหี่ยว คิดแต่ว่าจะขายของให้ใคร ใครจะซื้อ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ จะขายได้ไหม ถ้าคุณเป็นแบบนี้ แล้วหวังว่าจะรวย เหมือนกับคุณขับรถเส้นพหลโยธิน แต่คิดว่าจะไปให้ถึงเชียงใหม่อ่ะค่ะ

ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีจริง ร้านเพชรร้านทองจะขายได้ไหม รถหรูป้ายแดงจะมีมาวิ่งให้เห็นไหม บัตรคอนเสริต์แพงๆ จะมีคนซื้อไหม มือถือรุ่นใหม่ๆ จะมีคนไปต่อคิวซื้อไหม ถ้าวันนี้ยังมีคนเหล่านี้อยู่ แสดงว่าคุณยังมีโอกาสทำเงินและรวยได้ หาโอกาสนั้นให้เจอ เลิกติดตามข่าวร้ายๆ เลิกคุยกับคนคิดลบ แล้วใช้เวลาทั้งหมดมองหาโอกาส

2. ทุกครั้งที่มีคนถามคุณว่า "สบายดีไหม" คำเดียวที่ควรตอบไปคือ "สบายดี" ไม่ใช่ ก็ดี หรือ เรื่อยๆ หรือ ตามอัธภาพ เพราะอะไรเหรอคะ เพราะคนถามเค้าไม่ได้ต้องการคำตอบเพื่อจะเห็นใจ หรือช่วยเหลือคุณ คำถามนี้เค้าถามตามมารยาท ถามแบบไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไร  ถ้าคุณบอกว่า ช่วงนี้แย่ว่ะเพื่อน คนถามทำได้อย่างมากก็ให้กำลังใจคุณแล้วจากนั้นก็คุยเรื่องธุระของเค้าต่อ

หลักพฤติกรรมมนุษย์บอกไว้ว่า "มนุษย์สนใจแต่เรื่องของตัวเอง" อย่าคิดว่าคนอื่นจะสนใจเรื่องของคุณมากนัก คนที่สนใจเรื่องคุณ เค้าสนแค่ว่าเรื่องของคุณส่งผลกระทบกับเค้าอย่างไร เท่านั้นเองค่ะ

3. ต่อให้ต้องดับแดดิ้นไปตรงหน้า ก็อย่าพูดว่า "ไม่มีเงิน" เพราะคุณกำลังโกหก!!! คุณเป็นคนมีเงิน มีสลึงนึงก็คือเงิน การพูดว่าไม่มีเงินคือการโกหก และตามหลักพลังงานแล้ว การพูดแบบนี้เงินที่อยู่กับคุณแม้เพียงสลึงเดียวก็จะไม่อยากอยู่อีกต่อไป เพราะคุณไม่เห็นค่าของเค้า เหมือนตัวคุณเป็นแฟนใครสักคน แล้วแฟนไปขึ้นสเตตัสว่า "ไม่มีแฟน" อารมณ์นั้นเลยค่ะ อย่าพูดเด็ดขาด เพราะมันจะเป็นไปตามปากของคุณ

ผู้ใหญ่สอนปริณไว้ว่า "ปากมนุษย์คือสุสานอาถรรพ์" เพราะปากนี้มีซากสัตว์ตายมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน วิญญาณอาถรรพ์รุนแรง เพราะฉะนั้นเวลาจะพูดอะไรคิดให้ดี ... ใครจะนำข้อคิดนี้ไปใช้ไม่สงวนสิทธินะคะ มันเบรกคำพูดลบๆ ของเราได้ดีทีเดียวค่ะ

4. คำว่า "แพงจัง" เป็นคำพูดของเหยื่อ ไม่ใช่ผู้ล่า และไม่ใช่ผู้ชนะ คุณจะรู้สึกว่าของสิ่งนั้นแพงได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีค่ากับคุณเท่านั้น แต่ถ้าเป็นของที่คุณอยากได้ ต้องการ และเห็นคุณค่าในตัวมัน ห้ามพูดว่า "แพงจัง" เพราะคุณกำลังเอาตัวเงินไปวัดค่าของสิ่งที่มีค่าสำหรับคุณ ถ้าค่าของสิ่งนั้นน้อยกว่าเงินที่คุณควรจะจ่าย ให้คุณเลิกสนใจ ไม่ต้องมอง ไม่ต้องนึกถึง และไม่ต้องอยากได้ ให้ระลึกเสมอว่าคุณค่าของสิ่งที่คุณต้องการสำคัญกว่าเงิน

และจากสถิติ คนที่พูดว่า "แพงจัง" คือคนที่เห็นคุณค่าในตัวเองน้อยกว่าเงิน

5. "อยากปลดหนี้ ต้องเลิกคิดถึงหนี้" ปริณได้คำนี้มาจากหนังสือเกี่ยวกับกฎของแรงดึงดูด ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเราจะไม่คิดถึงหนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อศึกษาแล้วจึงรู้ว่าจริง การที่เราเฝ้าคิดและมองตัวเองว่าเป็นคนมีหนี้สิน ตัวเราจะเล็กลง เราจะเหนี่อย เราจะเบื่อ เพราะสิ่งที่เราเฝ้ามองมันกดเราไว้

ปริณเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักวิ่งมาราธอน ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าผู้ให้สัมภาษณ์คือใครเพราะนานมากแล้ว แต่ที่จำได้แม่นคือเค้าบอกว่า "ถ้าคุณวิ่งโดยสายตาจับจ้องที่เส้นชัย คุณจะเหนื่อยมาก และมีโอกาสที่คุณจะวิ่งไปไม่ถึงมัน เวลาวิ่งเค้าจะมองเพียง 100 เมตรต่อไปจากจุดที่วิ่งอยู่เท่านั้น เค้าวิ่งไปทีละร้อยเมตร ร้อยเมตร แล้วก็ร้อยเมตร จนในที่สุดเค้าก็วิ่งถึงเส้นชัยจนได้" ปริณอ่านแล้วขนลุก มันใช่เลย มันสุดยอดจริงๆ!!! เรารู้ว่าเราจะไปไหน เราวางแผน เราทำไปตามแผน รู้ว่าไปถูกทาง เราเดิน เราวิ่ง เราคลาน ทำยังไงก็ได้ ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไปตามทางที่เราตั้งใจ เป้าหมายระยะไกลคือชัยชนะ เป้าหมายระยะสั้นก็คือวันนี้ต้องทำอะไร .... โอ้ยๆๆ ขนลุก ไฟท่วมหัว เลิกกลัวหนี้สินกันนะคะ!!!!



สิ่งที่ปริณเขียนมาทั้งหมดนี้ มาจากการรวบรวมแนวคิดในหลากหลายที่มาจากการศึกษา และประสบการณ์ของตัวเอง ปริณเป็นคนมีหนี้ค่ะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีหนี้เป็นล้าน ทำงานมาตั้งแต่อายุ 14 แต่ไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวเป็นหนี้ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวความผิดหวัง

และที่สำคัญ คือ..."ไม่กลัวรวย"... อย่าเพิ่งขำค่ะ มีจริงๆ ค่ะ คนกลัวรวย ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าให้ฟัง

บทความนี้ ขอส่งท้ายด้วย บทอธิษฐาน "ปลดหนี้" ให้ไปทำกันนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามกันเป็นประจำ พบกันใหม่ในบทความต่อไปค่ะ ... ขอให้ผู้รักและศรัทธาในพลังหินทุกท่าน ได้รับสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ....

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com 


คาถาบริกรรมเพื่อปลดหนี้ต่อเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่อดีตชาติ
(จากหนังสืออินตก เทพทำนาย และพระคาถามหาศักดิ์สิทธิ์)
ตั้งนะโม 3 จบ
ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้า (นาย...,นาง...) ได้ติดหนี้ท่าน
เท่าใด เวลาใด ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ทั้งโดยเจตนา
และไม่เจตนา ข้าพเจ้าขอปวารณาว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข้าพเจ้าจะขอทยอยใช้หนี้คืนให้ทุกบาททุกสตางค์
จนกว่าจะหมด และขออโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อความสุข
ความเจริญของข้าพเจ้าและครอบครัวด้วยเทอญ
จากนั้นนั่งบริกรรมโดยถือเหรียญ 1 บาท ไว้ในมือ เสร็จแล้วเอา
เหรียญหย่อนใส่กระปุกหรือถ้วยไว้ทุกๆวัน จนครบ 4 เดือน
แล้วเอาเหรียญทั้งหมดไปทำบุญทำทาน ห้ามนำไปซื้อของกลับมาใช้
ให้ท่านทำตอนเช้าก่อนที่จะใช้เงินต่างๆ ในทุกๆวัน
คาถาปลดหนี้ มีสินมีทรัพย์
(คาถาของหลวงปู่ทวด)
ตั้งนะโม 3 จบ
นะปลดหนี้ โมปลดหนี้ พุทปลดหนี้ ธาปลดหนี้
ยะปลดหนี้ มีสินมีทรัพย์ ด้วยนะโมโพธิสัตโต
อาคันติมายะ อิติภะคะวา ยะธาพุทโมนะ
ให้ผู้สวดพระคาถาอยู่ในอริยาบถสบายๆ จากนั้นให้ผู้สวด
นึกเห็นภาพของหลวงปู่ทวด ไว้ตรงกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้ว
เพื่อเจริญสมาธิ ภาวนา แล้วกล่าว
"ด้วยบารมีขององค์หลวงปู่ทวด โปรดช่วยปลดเปลื้องหนี้สินที่
เดือดร้อนนั้นให้หมดสิ้นโดยเร็ว"
คาถาพระสีวลีฉันข้าว
(จากหนังสือสวดมนต์บารมีมงคลพระศิวะ เนื่องในวันวิสาขบูชา
ณ หอเทพบารมีพระศิวะ อ.สารภี)

ตั้งนะโม 3 จบ
นะโมพุทธายะ สิทธัง นะชาลีติ ประสิทธิลาภา
ปะสันตะ จิตตา ศรัทธา ปิยังมะมะ
สัพเพชะนา พะหูชะนา
สัพเพทิสา สะมาคะตา
กาละโภชนะ วิกาลโภชนา
อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ปิยังมะมะ
สีวะลีจะมหาเถโร สัพพะลา โภ นิรันตะรัง
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ
สวด 3-5-7-9 จบ ถ้าได้ 108 จบ จะพลิกดวงชะตาจากยากจน
หรือตกต่ำ ให้กลายเป็นคนที่มั่งมี มั่งคั่ง ด้วยลาภ ยศ เงินทอง
ข้าวของ และโภคทรัพย์จะเพิ่มพูนเนืองนอง มีกิน มีใช้ ไม่รู้หมด
ไม่รู้สิ้น รวยไม่มีที่สิ้นสุด ท่องจนลูกศิษย์หมดหนี้ หมดสิ้น
ธุรกิจรุ่งเรือง ศิษย์บางคนยังเรียกว่า พระคาถาปลดหนี้ด้วยซ้ำ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Kyanite หินปลดหนี้ ... หินมีเจ้าของ

สวัสดีค่ะ ท่านผู้รักและศรัทธาในพลังหินทุกท่าน ขอบคุณที่ติดตามอ่านบทความ "คุณหินที่รัก" ของปริณ มาโดยตลอดนะคะ โดยเฉพาะเมื่อโปรยไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะคุยกันเรื่องหิน Kyanite หรือที่รู้จักกันในนามของหินปลดหนี้ (Cr. อ.จุฑามาศ ณ สงขลา ผู้บัญญัติคำจำกัดความหินนี้ไว้) ทำให้หลายคนต้องหาหินชนิดนี้มาสวมใส่ติดตัวกันเป็นการใหญ่ เพราะอยากหมดหนี้สินเป็นไทกับเขาบ้าง แต่สำหรับบางคนอาจจะยังมีข้อสงสัยว่าหินจะช่วยปลดหนี้ได้อย่างไร เราเลยมีเรื่องต้องคุยกันค่ะ ....

ก่อนอื่นปริณต้องเล่าที่มีของหิน Kyanite 2 เส้นนี้ให้ฟังก่อนว่าเป็นความบังเอิญมาก ๆ ที่ได้ไปพบเค้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีคนมาให้ปริณหาหินชนิดนี้ให้นานเป็นปีมาแล้ว แต่ยังไม่เคยได้มาเลย เนื่องจากปริณจะรับหินจากผู้นำเข้าที่เชื่อถือและสนิทกันเท่านั้น หากมาจากแหล่งที่ไม่รู้จักจะไม่นำมาส่งต่อกับผู้รักหินเด็ดขาด รวมไปถึง ถ้าหินที่มองแล้ว หรือจับแล้วไม่โดน ก็จะไม่นำมาเช่นกัน จึงเป็นที่มาว่าทำไมหินที่นี่มีมาครั้งละไม่กี่เส้น หมดแล้วก็ต้องรอกันไป....

ซึ่ง Kyanite 2 เส้นนี้ สะดุดตาปริณมากๆ เหมือนกับว่าเค้ากวักมือเรียกเราเลยทีเดียว ปากก็คุยไป แต่ตาจ้องเค้าไว้่ไม่ละสายตาเลยค่ะ สะดุดตาสะดุดใจ ไม่มีทางปล่อยเค้าไปแน่...^^



เมื่อได้ Kyanite 2 เส้นนี้มาแล้ว ปริณยังไม่ได้บอกใคร เพราะมีคนอยากได้หลายคน ปริณก็เก็บเอาไว้ก่อน ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะไปทะเลเพื่อนำหินไปล้างตามขั้นตอนที่ต้องทำทุกครั้งเมื่อได้หินมา ก่อนจะนำมาส่งต่อให้ผู้ที่เป็นเจ้าของหินตัวจริง ปริณต้องไปทะเล ล้างพลังลบที่ติดมากับหินด้วยพลัง ดิน น้ำ ลม ไฟ และพาไปฟังเสียงสวดมนต์ ไปรับกลิ่นธูปควันเทียน ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นำมาวัดพลังก่อนจึงจะปล่อยไปได้

แต่ปรากฎว่าเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีไลน์เข้ามาจากพี่ที่เป็นลูกค้าร้านหิน iStone ของปริณ อย่างน่าตกใจค่ะ

เห็นเวลาในการคุยไหมคะ 7 โมงเช้า ซึ่งเป็นวันที่ปริณจะนำหินไปล้างน้ำทะเล แต่พี่เค้าไลน์หาปริณโดยที่ไม่ทราบเลยว่าหินมาอยู่ในมือปริณเรียบร้อยแล้ว ตกใจมากๆ ค่ะ ว่านึกยังไงถึงได้ถาม พี่เค้าก็ตอบเหมือนที่ท่านเห็นในไลน์ว่า เมื่อคืนนอนไม่หลับ สวดมนต์ทั้งคืน ขอพร อยากได้หิน คิดถึงปริณ ตั้งใจว่าจะต้องถามให้ได้ว่าหินมาหรือยัง แต่รอเช้าก่อน.....โอ้ว..พระเจ้า มหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ

นี่คือจุดที่ชัดเจนไม่ต้องลังเล ปริณ ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะให้หินเส้นนี้กับใคร เพราะเจ้าของเค้ามาแสดงตัวชัดเจนขนาดนี้ ตอนได้หินมา 2 เส้น ปริณก็ตั้งใจแล้วว่าจะปล่อยเส้นเดียว อีกเส้นต้องเก็บไว้เอง..อิอิ ก็เป็นอันว่าได้เจ้าของครบแล้ว

ซึ่งเรื่องมันก็ยังไม่จบแค่นี้ ปริณต้องขอบอกว่าตอนที่ได้หินมา ปริณนึกถึงน้องคนนึงที่เป็นลูกค้า iStone เช่นกัน และก็อยากได้หินชนิดนี้มาก ๆ เช่นกัน ตั้งใจว่าถ้าจะบอกใครจะบอกเค้าคนแรก แต่พี่เจ้าของหินข้างบนติดต่อมาก่อน และแล้วความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง.....

เพราะในวันเดียวกัน 10 โมงเช้า น้องคนนี้ก็ติดต่อมาถามว่า "พี่ปริณคะ หินปลดหนี้ สามประสานมาหรือยังคะ" (ชื่อที่ อ.จุฑามาศท่านตั้งไว้อีกแล้วค่ะ กลายเป็นชื่อหินที่คนรู้จักกันมากทีเดียว^^) พอถามว่าทำไมถึงได้ถามมาวันนี้ น้องก็บอกว่าจดไว้แล้วมาค้นเจอ นึกขึ้นได้จึงติดต่อมาค่ะ....พี่นี่ งง มากๆอีกแล้วค่ะ

นี่เป็นเรื่องราวแปลกๆ อาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แล้วแต่ใครจะมอง แต่สำหรับปริณนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เพราะหินและเจ้าของหินจะมีพลังสื่อถึงกันค่ะ



ขออนุญาตพักก่อนนะคะ ตอนต่อไปเราจะมาคุยกันว่า แล้วหินปลดหนี้ได้จริงเหรอ เอาเงินซื้อหินไปใช้หนี้ดีกว่าไหม ถ้าหินปลดหนี้ได้จริง ไม่ต้องทำงานไหม มาใส่หินกันทั้งประเทศ .... คำถามเหล่านี้ คุยกันรอบหน้าค่ะ....

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com