เชื่อว่าคำถามนี้คงจะเกิดขึ้นในใจของใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพลังของสิ่งเหล่านี้ หรือแม้แต่ผู้ซึ่งใส่หินเป็นเครื่องประดับประจำตัวอยู่แล้วก็ตาม
"ใส่หินแล้วจะปลดหนี้ได้จริงหรือ"
ต้องขอบอกก่อนว่า ในบทความนี้เราจะไม่คุยเรื่อง "หินมีพลังหรือไม่" หรือ "พลังของหินคืออะไร" "พิสูจน์ยังไง" "มาจากไหน" เราไม่คุยนะคะ เพราะผู้อ่านสามารถติดตามเรื่องเหล่านั้นได้ในบทความ "คุณหินที่รัก" ของปริณที่เราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ ส่วนในครั้งนี้ เราจะคุยกันเรื่องของหิน Kyanite หรือปลดหนี้กันต่อค่ะ
(Cr.ชื่อหินปลดหนี้ อ.จุฑามาศ ณ สงขลา เป็นผู้บัญญัติ เพื่อให้เรียกง่าย จำง่าย)
ชื่อของหิน Kyanite มาจากภาษากรีก หมายถึง สีน้ำเงิน ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องแก้วเจียรไน และการทำเครื่องปั้นดินเผา แต่ด้วยความแวววาวและมีสีน้ำเงินซึ่งคล้ายกับไพลิน ซึ่งเป็นอัญมณีที่เสริมอำนาจ เสริมความแข็งแกร่ง และเสริมการมีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ไคยาไนท์จึงถูกนำมาเป็นเครื่องประดับทดแทนไพลิน เพราะราคาจะถูกกว่าไพลินมาก
ในทางความเชื่อ ไพลินและไคยาไนท์ ถูกจัดให้เป็นอัญมณีที่ช่วยเสริมดวงชะตาของผู้เป็นเจ้าของให้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ไม่ย่อท้อ ไม่โลเล เสริมความมีอำนาจ และส่งเสริมให้เอาชนะสิ่งต่างๆที่กำลังฝ่าฟันได้อย่างเด็ดขาด เรียกว่าชนะอย่างถาวร
จึงเหมาะสำหรับการช่วยส่งเสริมให้คนที่มีภาระหนักในชีวิต เป็นหนี้เป็นสินอยู่ ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ฝ่าฟันอุปสรรค ขยันทำมาหาเงินจนสามารถใช้หนี้ได้สำเร็จนั่นเอง
พูดถึงเรื่องหนี้สินเนี่ยะนะคะ คนไม่เคยเป็นหนี้ไม่ทราบหรอกค่ะว่ามันกดดันแค่ไหน ไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่บางครั้งมันก็จำเป็น บางคนเป็นหนี้เพราะการลงทุน ซึ่งก็ดีหน่อยเพราะอย่างน้อยก็ยังได้ต่อยอดในธุรกิจ มีโอกาสได้เงินไปใช้หนี้ และยังมีกำไรจากธุรกิจที่ทำ บางคนเป็นหนี้เพราะกู้ซื้อบ้าน ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ก็ดีค่ะเพราะเป็นหนี้ที่ทำให้มีทรัพย์สิน บางคนอาจจะกู้เงินซื้อรถ ถ้าซื้อมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ก็ถือว่าเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ถ้ากู้ยืมมาใช้จ่าย หรือเป็นหนี้บัตรเครดิต อันนี้ก็หนักหน่อย เพราะหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แถมดอกเบี้ยก็สูงปรี๊ดอีกด้วย
นี่ละค่ะ เป็นที่มาของการที่ใครบางคนต้องหาพลังส่งเสริม คนเป็นหนี้ต้องมีพลังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะคุณจะเหนื่อยจากการที่ทำงานได้เงินมาแล้ว แต่ต้องนำเงินนั้นมาใช้หนี้ บางทีมันก็หมดกำลังใจกันได้เหมือนกัน จนทำให้บางคนต้องคิดแบบปลงๆ ว่า "คงเป็นกรรมเก่า เราคงเคยติดหนี้ใครไว้ เลยต้องมาชดใช้ชาตินี้" ... เคยคิดแบบนี้ไหมคะ?
ในด้านโหราศาสตร์ ไคยาไนท์ถูกจัดให้เป็นหินอัญมณีประจำดาวเสาร์ ซึ่งหากท่านใดได้ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาว ดาวเสาร์ในศาสตร์สากล ถือเป็นหนึ่งในดาวกรรมเก่า การอ่านแผนผังดาวเกิดเพื่ออยากรู้กรรมเก่า ก็จะต้องหาว่าดาวเสาร์โคจรอยู่ในภพใด เรือนใด เพื่ออ่านว่าคนนี้มีกรรมเก่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร และในชาตินี้ควรจะแก้ไขสิ่งที่ติดค้างนี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นในความเข้าใจของปริณ การใส่หินไคยาไนท์ติดตัวไว้ ก็อาจจะทำให้บุคคลนั้นสื่อสารกับพลังของดาวเสาร์ได้ดีขึ้น ได้เกิดความรู้และเข้าใจตัวตนมากขึ้น ว่าเราเป็นหนี้เพราะอะไร สื่อสารกับตัวตนภายในได้ชัดเจนขึ้นว่า นิสัยเราส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงใหม่ อะไรมากไป อะไรน้อยไป อาจจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่ติดค้างในใจเราที่เป็นตะกอนติดตัวมาก็ได้ว่าเราติดค้างเรื่องอะไรไว้ จึงส่งผลให้ชาติหนี้ต้องเป็นหนี้เป็นสิน
มีคนถามปริณขำๆ แต่แอบแรงว่า "เอาเงินที่ซื้อหินปลดหนี้ ไปใช้หนี้ดีกว่าไหม" ปริณก็ตอบไปว่า คนที่หาหินปลดหนี้มาใส่แสดงว่ามีความอยากใช้หนี้อย่างแรงกล้า ไม่งั้นต่อให้ไม่นำเงินมาซื้อหินก็คงไปใช้อย่างอื่นหมดอยู่ดี ถ้าไม่คิดจะใช้หนี้ ส่วนคำถามที่ว่า "ถ้าหินปลดหนี้ได้จริง ควรใส่ทั้งประเทศ โดยเฉพาะแบงค์ชาติ ประเทศจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้" คำถามนี้ต้องตอบด้วยคำถามค่ะว่า "จะลองดูไหมล่ะคะ" เหมือนฮ่องกง สิงคโปร์ไง วางฮวงจุ้ยทั้งประเทศ รวยไหมละคะ?
......
สิ่งหนึ่งที่ปริณพยายามบอกทุกคนที่มีโอกาสคุยด้วย หรือได้ฟังรายการวิทยุที่ปริณจัดอยู่ทุกวันก็คือ การใส่หิน เป็นการปรับพลังในจิตเราให้สมดุล เพื่อให้เรามีสติ และเข้าใจตัวเองมากขึ้น อย่างหิน ไคยาไนท์ ในด้านของอารมณ์ พลังเค้าจะส่งเสริมการปรับทัศนคติให้ผู้สวมใส่คิดบวก ไม่คิดในด้านลบ ซึ่งจุดนี้เอง ที่ปริณมองว่าสำคัญมากๆ สำหรับการที่ใครสักคนอยากจะสร้างฐานะ เพราะคนคิดบวกและเห็นโอกาสในวิกฤติเท่านั้น ที่จะพลิกชะตาตัวเองได้เหมือนพลิกฝ่ามือ
วิธีสำรวจตัวเอง ว่าเราจะรวยไหม???
1. เวลามีคนมาบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี เราพูดว่าอย่างไร
2. เวลามีคนถามว่าสบายดีไหม เราตอบว่าอย่างไร
3. คุณชอบพูดคำว่า "ไม่มีเงิน" หรือไม่
4. คุณชอบพูดคำว่า "แพงจัง" หรือไม่
5. คุณเฝ้าบอกตัวเองว่าเป็นคน "หนี้เยอะ" หรือไม่
แค่ 5 ข้อนี้ ก็รู้แล้วค่ะว่าคุณจะรวยไหม และจะหมดหนี้หมดสินไหม
1. คนที่ชอบคล้อยตามข่าวสารร้ายๆ เช่น เศรษฐกิจไม่ดี จะไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีไอเดียทำอะไรใหม่ๆ เลย จะห่อเหี่ยว คิดแต่ว่าจะขายของให้ใคร ใครจะซื้อ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ จะขายได้ไหม ถ้าคุณเป็นแบบนี้ แล้วหวังว่าจะรวย เหมือนกับคุณขับรถเส้นพหลโยธิน แต่คิดว่าจะไปให้ถึงเชียงใหม่อ่ะค่ะ
ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีจริง ร้านเพชรร้านทองจะขายได้ไหม รถหรูป้ายแดงจะมีมาวิ่งให้เห็นไหม บัตรคอนเสริต์แพงๆ จะมีคนซื้อไหม มือถือรุ่นใหม่ๆ จะมีคนไปต่อคิวซื้อไหม ถ้าวันนี้ยังมีคนเหล่านี้อยู่ แสดงว่าคุณยังมีโอกาสทำเงินและรวยได้ หาโอกาสนั้นให้เจอ เลิกติดตามข่าวร้ายๆ เลิกคุยกับคนคิดลบ แล้วใช้เวลาทั้งหมดมองหาโอกาส
2. ทุกครั้งที่มีคนถามคุณว่า "สบายดีไหม" คำเดียวที่ควรตอบไปคือ "สบายดี" ไม่ใช่ ก็ดี หรือ เรื่อยๆ หรือ ตามอัธภาพ เพราะอะไรเหรอคะ เพราะคนถามเค้าไม่ได้ต้องการคำตอบเพื่อจะเห็นใจ หรือช่วยเหลือคุณ คำถามนี้เค้าถามตามมารยาท ถามแบบไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไร ถ้าคุณบอกว่า ช่วงนี้แย่ว่ะเพื่อน คนถามทำได้อย่างมากก็ให้กำลังใจคุณแล้วจากนั้นก็คุยเรื่องธุระของเค้าต่อ
หลักพฤติกรรมมนุษย์บอกไว้ว่า "มนุษย์สนใจแต่เรื่องของตัวเอง" อย่าคิดว่าคนอื่นจะสนใจเรื่องของคุณมากนัก คนที่สนใจเรื่องคุณ เค้าสนแค่ว่าเรื่องของคุณส่งผลกระทบกับเค้าอย่างไร เท่านั้นเองค่ะ
3. ต่อให้ต้องดับแดดิ้นไปตรงหน้า ก็อย่าพูดว่า "ไม่มีเงิน" เพราะคุณกำลังโกหก!!! คุณเป็นคนมีเงิน มีสลึงนึงก็คือเงิน การพูดว่าไม่มีเงินคือการโกหก และตามหลักพลังงานแล้ว การพูดแบบนี้เงินที่อยู่กับคุณแม้เพียงสลึงเดียวก็จะไม่อยากอยู่อีกต่อไป เพราะคุณไม่เห็นค่าของเค้า เหมือนตัวคุณเป็นแฟนใครสักคน แล้วแฟนไปขึ้นสเตตัสว่า "ไม่มีแฟน" อารมณ์นั้นเลยค่ะ อย่าพูดเด็ดขาด เพราะมันจะเป็นไปตามปากของคุณ
ผู้ใหญ่สอนปริณไว้ว่า "ปากมนุษย์คือสุสานอาถรรพ์" เพราะปากนี้มีซากสัตว์ตายมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน วิญญาณอาถรรพ์รุนแรง เพราะฉะนั้นเวลาจะพูดอะไรคิดให้ดี ... ใครจะนำข้อคิดนี้ไปใช้ไม่สงวนสิทธินะคะ มันเบรกคำพูดลบๆ ของเราได้ดีทีเดียวค่ะ
4. คำว่า "แพงจัง" เป็นคำพูดของเหยื่อ ไม่ใช่ผู้ล่า และไม่ใช่ผู้ชนะ คุณจะรู้สึกว่าของสิ่งนั้นแพงได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีค่ากับคุณเท่านั้น แต่ถ้าเป็นของที่คุณอยากได้ ต้องการ และเห็นคุณค่าในตัวมัน ห้ามพูดว่า "แพงจัง" เพราะคุณกำลังเอาตัวเงินไปวัดค่าของสิ่งที่มีค่าสำหรับคุณ ถ้าค่าของสิ่งนั้นน้อยกว่าเงินที่คุณควรจะจ่าย ให้คุณเลิกสนใจ ไม่ต้องมอง ไม่ต้องนึกถึง และไม่ต้องอยากได้ ให้ระลึกเสมอว่าคุณค่าของสิ่งที่คุณต้องการสำคัญกว่าเงิน
และจากสถิติ คนที่พูดว่า "แพงจัง" คือคนที่เห็นคุณค่าในตัวเองน้อยกว่าเงิน
5. "อยากปลดหนี้ ต้องเลิกคิดถึงหนี้" ปริณได้คำนี้มาจากหนังสือเกี่ยวกับกฎของแรงดึงดูด ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเราจะไม่คิดถึงหนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อศึกษาแล้วจึงรู้ว่าจริง การที่เราเฝ้าคิดและมองตัวเองว่าเป็นคนมีหนี้สิน ตัวเราจะเล็กลง เราจะเหนี่อย เราจะเบื่อ เพราะสิ่งที่เราเฝ้ามองมันกดเราไว้
ปริณเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักวิ่งมาราธอน ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าผู้ให้สัมภาษณ์คือใครเพราะนานมากแล้ว แต่ที่จำได้แม่นคือเค้าบอกว่า "ถ้าคุณวิ่งโดยสายตาจับจ้องที่เส้นชัย คุณจะเหนื่อยมาก และมีโอกาสที่คุณจะวิ่งไปไม่ถึงมัน เวลาวิ่งเค้าจะมองเพียง 100 เมตรต่อไปจากจุดที่วิ่งอยู่เท่านั้น เค้าวิ่งไปทีละร้อยเมตร ร้อยเมตร แล้วก็ร้อยเมตร จนในที่สุดเค้าก็วิ่งถึงเส้นชัยจนได้" ปริณอ่านแล้วขนลุก มันใช่เลย มันสุดยอดจริงๆ!!! เรารู้ว่าเราจะไปไหน เราวางแผน เราทำไปตามแผน รู้ว่าไปถูกทาง เราเดิน เราวิ่ง เราคลาน ทำยังไงก็ได้ ให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไปตามทางที่เราตั้งใจ เป้าหมายระยะไกลคือชัยชนะ เป้าหมายระยะสั้นก็คือวันนี้ต้องทำอะไร .... โอ้ยๆๆ ขนลุก ไฟท่วมหัว เลิกกลัวหนี้สินกันนะคะ!!!!
สิ่งที่ปริณเขียนมาทั้งหมดนี้ มาจากการรวบรวมแนวคิดในหลากหลายที่มาจากการศึกษา และประสบการณ์ของตัวเอง ปริณเป็นคนมีหนี้ค่ะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีหนี้เป็นล้าน ทำงานมาตั้งแต่อายุ 14 แต่ไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวเป็นหนี้ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวความผิดหวัง
และที่สำคัญ คือ..."ไม่กลัวรวย"... อย่าเพิ่งขำค่ะ มีจริงๆ ค่ะ คนกลัวรวย ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าให้ฟัง
บทความนี้ ขอส่งท้ายด้วย บทอธิษฐาน "ปลดหนี้" ให้ไปทำกันนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามกันเป็นประจำ พบกันใหม่ในบทความต่อไปค่ะ ... ขอให้ผู้รักและศรัทธาในพลังหินทุกท่าน ได้รับสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ....
ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com
คาถาบริกรรมเพื่อปลดหนี้ต่อเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่อดีตชาติ
(จากหนังสืออินตก
เทพทำนาย และพระคาถามหาศักดิ์สิทธิ์)
ตั้งนะโม
3 จบ
ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้า
(นาย...,นาง...) ได้ติดหนี้ท่าน
เท่าใด
เวลาใด ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ทั้งโดยเจตนา
และไม่เจตนา
ข้าพเจ้าขอปวารณาว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข้าพเจ้าจะขอทยอยใช้หนี้คืนให้ทุกบาททุกสตางค์
จนกว่าจะหมด
และขออโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อความสุข
ความเจริญของข้าพเจ้าและครอบครัวด้วยเทอญ
จากนั้นนั่งบริกรรมโดยถือเหรียญ
1 บาท ไว้ในมือ เสร็จแล้วเอา
เหรียญหย่อนใส่กระปุกหรือถ้วยไว้ทุกๆวัน
จนครบ 4 เดือน
แล้วเอาเหรียญทั้งหมดไปทำบุญทำทาน
ห้ามนำไปซื้อของกลับมาใช้
ให้ท่านทำตอนเช้าก่อนที่จะใช้เงินต่างๆ
ในทุกๆวัน
คาถาปลดหนี้
มีสินมีทรัพย์
(คาถาของหลวงปู่ทวด)
ตั้งนะโม
3 จบ
นะปลดหนี้
โมปลดหนี้ พุทปลดหนี้ ธาปลดหนี้
ยะปลดหนี้
มีสินมีทรัพย์ ด้วยนะโมโพธิสัตโต
อาคันติมายะ
อิติภะคะวา ยะธาพุทโมนะ
ให้ผู้สวดพระคาถาอยู่ในอริยาบถสบายๆ
จากนั้นให้ผู้สวด
นึกเห็นภาพของหลวงปู่ทวด
ไว้ตรงกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้ว
เพื่อเจริญสมาธิ
ภาวนา แล้วกล่าว
"ด้วยบารมีขององค์หลวงปู่ทวด โปรดช่วยปลดเปลื้องหนี้สินที่
เดือดร้อนนั้นให้หมดสิ้นโดยเร็ว"
คาถาพระสีวลีฉันข้าว
(จากหนังสือสวดมนต์บารมีมงคลพระศิวะ
เนื่องในวันวิสาขบูชา
ณ
หอเทพบารมีพระศิวะ อ.สารภี)
ตั้งนะโม
3 จบ
นะโมพุทธายะ
สิทธัง นะชาลีติ ประสิทธิลาภา
ปะสันตะ
จิตตา ศรัทธา ปิยังมะมะ
สัพเพชะนา
พะหูชะนา
สัพเพทิสา
สะมาคะตา
กาละโภชนะ
วิกาลโภชนา
อาคัจฉายะ
อาคัจฉาหิ ปิยังมะมะ
สีวะลีจะมหาเถโร
สัพพะลา โภ นิรันตะรัง
ตะมะหัง
สังฆัง สิระสา นะมามิ
สวด
3-5-7-9 จบ ถ้าได้ 108 จบ จะพลิกดวงชะตาจากยากจน
หรือตกต่ำ
ให้กลายเป็นคนที่มั่งมี มั่งคั่ง ด้วยลาภ ยศ เงินทอง
ข้าวของ
และโภคทรัพย์จะเพิ่มพูนเนืองนอง มีกิน มีใช้ ไม่รู้หมด
ไม่รู้สิ้น
รวยไม่มีที่สิ้นสุด ท่องจนลูกศิษย์หมดหนี้ หมดสิ้น
ธุรกิจรุ่งเรือง
ศิษย์บางคนยังเรียกว่า พระคาถาปลดหนี้ด้วยซ้ำ