วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ยูนาไคต์ ที่ใครๆเรียกหินถูกหวย

สวัสดีวันถูกหวยค่ะ ต้อนรับวันโชคดีด้วยบทความดีๆ
บทความ คุณหินที่รัก โดย ปริณ แก้ววัชรพล

ตอน ยูนาไคต์สีอะไร

(หากนำข้อมูลไปใช้ต่อ กรุณาใส่เครดิตให้ด้วยนะคะคนดี)





สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้ ปริณ @iStone ขอพูดถึงหินยอดฮิตของพี่น้องชาวไทย นั่นก็คือ “ยูนาไคต์” หรือที่บางคนเรียกหินโชคดี หินถูกหวย อะไรก็ตามแต่จะเรียกนะคะ

ข้อแรกเลยต้องบอกว่า ยูนาไคต์ เป็นหินในกลุ่ม “หินหลากสี” นะคะ เพราะใน 1 ก้อน จะมีสีที่เรามองเห็นได้ชัด ๆ อยู่ 3 สีด้วยกัน นั่นก็คือ สีเขียว สีชมพู และสีขาว แต่เนื่องจากสีเขียวอาจจะมากหน่อย หลายคนจึงตีประเด็นไปว่า ยูนาไคต์คือหินสีเขียว บางคนที่เน้นเรื่องสีเครื่องประดับเลยไม่กล้าใส่ เช่นคนเกิดวันเสาร์ ที่บอกว่าสีเขียวไม่ดี ก็เลยไม่ใส่ อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะใช้หลักการอะไรในการเลือกหินนะคะ ใช้วิธีเลือกหินที่คุณสบายใจที่สุดค่ะ แต่ขอบอกนิดนึงว่ายูนาไคต์จัดอยู่ในกลุ่มหินหลากสี จึงสามารถใช้ได้กับทุกคนค่ะ

ยูนาไคต์เป็นแกรนิตทึบแสงมีส่วนผสมของควอตซ์ (สีขาว) เจือด้วยเอพิโดไทต์ (สีเขียว) และมีเฟลต์สปาร์ (สีชมพู) ปะปนอยู่

เพราะฉะนั้นหากท่านได้รับหินยูนาไคต์มา ไม่ว่าจะมาจากร้านไอ’สโตนเอง หรือได้มาจากที่อื่นก็ตาม แล้วสังเกตเห็นบริเวณที่เป็นสีขาวบนเนื้อหิน ให้เข้าใจว่าเป็นส่วนผสมของแร่ควอตซ์นะคะ บางคนคิดว่าเป็นเนื้อพลาสติก และสีที่เคลือบไว้ลอกออกมา จนเห็นเนื้อพลาสติกสีขาว ปริณเองสมัยใช้หินใหม่ๆ ก็คิดแบบท่านค่ะ ถึงขนาดใช้เล็บขูด ใช้มีดขูดดูว่าจะลอกอีกไหมแต่สีมันก็ไม่ลอกออกมา จึงทำการทดสอบด้วยน้ำยาล้างเล็บแช่เป็นวันเป็นคืน จนน้ำยาแห้งแล้วมาถูๆ ขัดๆ สีก็ไม่ลอกอยู่ดีค่ะ

วิธีคิดและทดสอบแบบนี้ ทำไปเพื่อความมั่นใจเท่านั้นล่ะค่ะ แต่หลักการที่ถูกต้องในการพิจารณาหิน คือหลักที่ปริณบอกไปเมื่อตอนต้นว่า เราต้องมาดูส่วนประกอบของหินว่าเค้าเกิดมาจากอะไร แล้วเราจะรู้เองค่ะ ว่าสีของหินนั้นๆ ควรเป็นสีอะไร และคุณสมบัติ ส่วนผสมทางเคมีควรเป็นอย่างไร



คุณสมบัติของหินแต่ละชนิด ที่เรานำมาพูดกันว่า ดึงดูดโชคลาภเงินทอง ป้องกันภัย เสริมรัก เสริมงาน อะไรก็แล้วแต่ เกิดจากส่วนผสมของแร่ธาตุที่แตกต่างกันออกไป หากเราเชื่อว่ายูนาไคต์เป็นหินที่จะนำพาโชคลาภฟลุ๊คๆ นำโอกาสได้เงินได้ทองมาให้ ก็ต้องเป็นหินที่มีองค์ประกอบทั้งหมดที่เค้าควรจะมี
บางคนอยากได้ยูนาไคต์เฉพาะสีเขียวอย่างเดียว ไม่เอาชมพู ไม่เอาขาว คุณสมบัติที่คุณต้องการก็จะไม่ครบตามไปด้วย และเราก็ต้องนึกถึงหลักความเป็นจริงด้วยว่า การเจียระไนหินแต่ละก้อนจะไม่มีทางเหมือนกันได้ ทั้งลาย และสี เพราะนี่คือผลงานของธรรมชาติรังสรรค์ และเป็นเสน่ห์ของเครื่องประดับหินสีจากธรรมชาติ คนที่อยู่ในวงการนี้ หรือคนที่หลงรักเครื่องประดับหินสี จะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเสน่ห์ของเค้าคือมีชิ้นเดียวในโลกค่ะ

มีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับการใช้หิน การสังเกตหิน และอื่นๆ
บางคำถามปริณจะทยอยมาตอบหน้าเพจแบบนี้ในช่วง บทความ “คุณหินที่รัก” โดย ปริณ แก้ววัชรพล นะคะ แต่บางเรื่องปริณจะแนะนำเฉพาะลูกค้าเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นคนพิเศษของปริณค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ พบกันใหม่บทความต่อไป....ขอให้ทุกคนมีความสุข และได้รับสิ่งดีๆ จากพลังหินค่ะ

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com 

วิธีดูหินว่าเป็นหินหรือพลาสติก ง่ายๆ

บทความ คุณหินที่รัก โดย ปริณ แก้ววัชรพล
ประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2558

"คุณ ปริณ มีวิธีดูหินว่าเป็นหินหรือพลาสติก ง่ายๆหรือเปล่าครับ"


คือคำถามที่ลูกค้า iStone หลังไมค์มาถามปริณค่ะ หลังจากที่ได้ตอบไปแล้ว คิดว่าคำถามนี้น่าจะอยู่ในใจใครอีกหลายคน จึงนำคำตอบมาโพสต์ให้ทุกท่านได้ศึกษากันด้วย
วิธีที่ปริณแนะนำนี้ ไม่ใช่วิธีที่ก็อปปี้ต่อๆกันมาใน internet แต่เป็นสิ่งที่ปริณสังเกตเองจากประสบการณ์ ดังนี้ค่ะ

วิธีสังเกตเบื้องต้น หินแท้ หินสังเคราะห์
1.น้ำหนักค่ะ ถ้าพลาสติกจะเบาไม่มีน้ำหนัก แต่หินสังเคราะห์เดี๋ยวนี้ไม่ใช้พลาสติกแล้ว(นอกจากปลอมราคาถูก) ปัจจุบันจะทำจากแก้วและเรซิ่นมากกว่า เพราะได้น้ำหนักและได้ความเย็นด้วย เหมือนหินแท้มากค่ะ
2.ดูความสมบูรณ์ค่ะ ถ้าเป็นหินแท้จะมีรอย แตก ร้าว เว้า แหว่ง ไม่สมบูรณ์ 100% หินสังเคราะห์จะทำรอยแบบธรรมชาติไม่ได้ เค้าจะสมบูรณ์และสวยมาก
3.สีค่ะ สีธรรมชาติกับสีมนุษย์สร้างจะต่างกัน วิธีที่ปริณชอบใช้คือ หาภาพหินก้อนใหญ่ๆจากธรรมชาติมาดูประกอบ ว่าหินชนิดนี้เวลาอยู่ในธรรมชาติเค้ามีสี มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เพื่อใช้เปรียบเทียบกับหินลูกปัดในท้องตลาด แต่วิธีนี้ดูเป็นพื้นฐานเท่านั้น เพราะหินชนิดเดียวกันแต่มีแหล่งกำเนิดต่างกัน สีจะแตกต่างกันด้วย
แต่ถึงจะแตกต่างอย่างไรก็แล้วแต่ ก็จะไม่เหมือนสีที่มนุษย์สร้าง (man made) อย่างแน่นอน หินมนุษย์สร้างจะสด สวย เสมอ เช่น หินทรายเงิน ทรายทอง เกล็ดมังกร เหล่านี้เป็นหินสังเคราะห์ ส่วน ฮกลกซิ่ว คือหินที่แต่งสี เป็นต้นค่ะ
4.ความมันวาว หินธรรมชาติบางชนิดจะไม่มันวาว หลังจากเจียรแล้วจะเคลือบด้วยขี้ผึ้ง หรือสารเคลือบผิวหินเพื่อนำมาทำเครื่องประดับได้อย่างสวยงาม เมื่อใส่ไปสักระยะ สารเคลือบอาจหลุดออก เจอผิวด้านของหิน แต่ถ้าหินสังเคราะห์จะมันวาวอยู่อย่างนั้น (ยกเว้นหินแท้บางชนิดที่มันวาวโดยตัวเค้าเองนะคะ)

นี่คือหลัก 4 ข้อง่ายๆ ในการดูหินเบื้องต้น ซึ่งจำเป็นมากที่เราต้องทราบ เพราะแม้ว่าประโยชน์ข้อแรกของหินคือเป็นเครื่องประดับให้ความสวยงาม แต่ไหนๆเราจะใส่เครื่องประดับแล้ว ถ้าได้คุณสมบัติจากหินแท้ส่งเสริมด้วยจะไม่ดีกว่าเหรอคะ

จะใส่แก้ว พลาสติก เรซิ่น ให้หนักแขนทำไม ปริณมีคติประจำใจข้อหนึ่งคือ
"ของที่ซื้อมาแล้วได้ประโยชน์ หนึ่งล้านบาทก็ถูก ของที่ซื้อมาแล้วไม่มีประโยชน์ หนึ่งบาทก็แพงค่ะ"

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com 
(สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย หากนำไปใช้กรุณาแจ้งที่มาของข้อมูล)

คุณอเมทิส พิชิต ไมเกรน (ประสบการณ์ตรง)

บทความ “คุณหินที่รัก” โดย ปริณ แก้ววัชรพล

(สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย หากนำไปใช้กรุณาแจ้งที่มาของข้อมูล)
ตอน คุณอเมทิส พิชิต ไมเกรน (ประสบการณ์ตรง)

ปริณเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีอาการของไมเกรนอยู่คู่กายมาเป็นเวลาหลายสิบปีค่ะ เป็นๆ หายๆ ที่ผ่านๆ มาก็รักษาด้วยการทานยา และการฝึกสมาธิช่วย เพราะหลายคนก็คงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ไมเกรนเป็นโรคเวรกรรม” ปริณเชื่อว่าเป็นอาการที่เกี่ยวกับพลังจิตค่ะ ช่วงไหนที่นั่งสมาธิบ่อยๆ อาการก็จะไม่ค่อยเกิด แต่หากช่วงไหนพักผ่อนน้อย ทำงานหนัก และไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ หรือได้รับสิ่งกระตุ้น สำหรับปริณจะเป็นกลิ่นกับอากาศค่ะ หากได้กลิ่นบุหรี่จะกระตุ้นได้รุนแรงมาก (นอกเรื่อง : สาเหตุนี้เป็นที่มาที่ทำให้ปริณทำสมุนไพรสำหรับคนต้องการเลิกบุหรี่มาเป็นสิบๆปีด้วย) หรือหากวันไหนอากาศร้อนจัดๆ อาการของไมเกรนก็จะกำเริบขึ้นมาได้เช่นเดียวกันค่ะ

ในวันจันทร์ที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมาก็เป็นอีกวันหนึ่งที่อาการไมเกรนมาเยือนปริณอย่างหนักตั้งแต่เช้า และปริณต้องดำเนินรายการวิทยุทุกวันในเวลา 09.00-11.00 น. เลยตัดสินใจทานพาราไปก่อน 2 เม็ด ทั้งที่จริงไม่อยากทานยาเท่าไหร่ แต่กลัวจะจัดรายการไม่ไหว

จัดรายการเสร็จอาการปวดก็ยังไม่ดีขึ้น จนกระทั่งถึงช่วงบ่าย ปริณก็ทนที่จะไม่ทานยาไมเกรน เพราะคุณหมอเคยเตือนว่าทานยาตัวนี้มากๆ มีโอกาสที่เส้นเลือดในสมองจะแตกได้ ทั้งที่ในใจเราก็รู้นะคะว่าถ้าเป็นอาการแบบนี้แล้วไม่ทานยาเราจะไม่หายปวดหัวแน่นอนแต่ก็ทน
ปกติช่วงบ่ายของทุกวันปริณจะต้องไปส่งของไปรษณีย์และทำงานข้างนอกต่อถึงเย็นแต่วันนั้นไม่ไหวค่ะ ส่งของแล้วต้องกลับมาพักผ่อน ให้ทีมงานช่วยทำงานอื่นๆต่อไป แต่ก็ยังไม่ยอมทานยาไมเกรนอยู่ดีนะคะ

เพราะครั้งนี้ปริณมีวิธีใหม่ที่จะลองใช้ดูนอกจากการทานยา นั่นก็คือการใช้ “หินบำบัด” นั่นเอง พอดีปริณนึกขึ้นได้ค่ะว่ามีลูกปัดอเมทิสที่เหลือจากการร้อยให้ลูกค้า iStone อยู่นิดหน่อยไม่ถึง 10 เม็ดที่คัดออก (หินเม็ดไหนไม่สวยปริณจะคัดออกไว้อยู่แล้ว) และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ปริณได้รับจี้หินอเมทิสที่ทำจากขอบสีขาวๆ ในจีโอดของอเมทิส มาจากพี่สาวที่ปริณนับถือ (ท่านซื้อมาจากอัฟริกาแล้วยกให้ปริณ) จึงนำ 2 อย่างนี้มาร้อยรวมกัน จากนั้นก็แปะไว้ที่ขมับด้านซ้ายที่กำลังปวดตุบๆ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ในนั้น



ขณะที่ประคบอเมทิสไว้ ปริณก็บริกรรมไปด้วยค่ะ บางคนเวลาทำสมาธิจะบริกรรมพุทโธ เข้าออก ยุบหนอพองหนอ ใช่ไหมคะ แล้วแต่จริต แต่ปริณบริกรรม “สบาย ผ่อนคลาย สบาย ผ่อนคลาย” แบบนี้ค่ะ หายใจเข้าออกลึกๆ ทำแบบนี้ไปประมาณครึ่งชั่วโมง ปรากฏว่าอาการดีขึ้นมาก จากนั้นปริณก็นอนพักผ่อนด้วยการประคบหินไว้แบบนั้น และบริกรรมสบายผ่อนคลายจนหลับไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ ตื่นขึ้นมาปรากฎว่าอาการปวดหัวไมเกรนอย่างรุนแรงนั้นมันหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ สบายและผ่อนคลายมากๆ เหมือนเราได้ทานยาแก้ปวดหัวไมเกรนเลย สบาย โล่ง อย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ

ปริณจึงรีบขอบคุณคุณอเมทิสเป็นการใหญ่ ที่ช่วยปริณได้จริงๆ เย็นนั้นมีงานต้องไปเป็นเกียรติเปิดร้านอาหารผู้ใหญ่ที่นับถือด้วย ตอนแรกคิดว่าต้องยกเลิกงาน แต่ก็ไปได้ แถมยังร้องเพลงได้อีกต่างหากค่ะ เป็นปกติมากๆ เลย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ เรื่องพลังหินบำบัด

ที่นี้เรามาดูกันค่ะว่าเพราะอะไร หินสีม่วง อเมทิส จึงบำบัดอาการปวดศรีษะได้
เป็นที่ทราบกันดีนะคะว่าหินสี อัญมณีต่างๆ นั้นเป็นศาสตร์หนึ่งที่ถือเป็นการแพทย์ทางเลือกในการบำบัดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ในต่างประเทศศาสตร์นี้ถือเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ มีการศึกษากันในสถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และมีสถานรับบำบัดอาการเจ็บป่วยด้วยอัญมณีกันทั่วไป

สำหรับในประเทศไทย หากพูดถึงคุณสมบัติพิเศษของหินสีนั้น เราจะนึกถึงเรื่องการนำพาเรื่องโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง หรือเสริมส่งดวงชะตากันมากกว่าที่จะพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
อัญมณีหินสีทุกชนิดมีคุณสมบัติในการบำบัดสุขภาพแตกต่างกันไปค่ะ ในบทความนี้ ปริณจะกล่าวถึงหินสีชนิดหนึ่งที่หลายท่านรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นก็คือ “อเมทิส” หินสีม่วง ซึ่งถือได้ว่าเป็นหินที่ทุกคนรู้จักและมีไว้ครอบครอง ด้วยราคาก็ไม่แพงเกินไปนัก มีอเมทิสในท้องตลาดมากมายในเกรดที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้

หินสีม่วงนั้น ถือเป็นหินที่อยู่ในจักระสูงสุดของมนุษย์ คือ
จักระที่ 7 ชื่อว่า สหสราระ The Crown Chakra
• มีสีม่วง อยู่กลางกระหม่อม ธาตุคือ ตัวรู้
• มีหน้าที่ให้ความมีชีวิตชีวา ช่วยรักษาโรค
• สัมพันธ์กับต่อมไพเนียล และศูนย์รวมประสาทของตาข้างขวา
• อัญมณีที่ส่งผลคือเพชร และอามิทิส อาหารที่บำรุงเลี้ยงคือพืชผักสีม่วง เช่นกะหล่ำม่วง มะเขือม่วง สาหร่ายสีแดงอมม่วง
• มีอานุภาพช่วยสัมผัสสิ่งที่เรามองไม่เห็น เช่น วิญญาณในภพภูมิต่างๆ เทพเทวดา สัมพันธ์กับความเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด มีอานุภาพช่วยรักษาโรคที่ร้ายแรง แม้กระทั่งมะเร็ง
• ถ้าจักระหมดอานุภาพจะขาดความกระตือรือร้น สับสน ว้าวุ่น ลังเล ทำตัวแปลกแยก ห่างเหินสังคม แก่เกินวัย ไม่มีศรัทธา
• Amathyse เป็นอัญมณีสีม่วง ใช้เพิ่มพลังจักระที่ 7
• กลิ่นดอกบัว สามารถใช้กระตุ้นการทำงานของจักระที่ 7
(ขอบคุณข้อมูล : อาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ)

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า อเมทิส (Amethyse) คือหินที่ใช้เพิ่มพลังจักระที่ 7 นี้ ในด้านการบำบัดรักษา จึงถูกนำมาใช้กับผู้มีอาการปวดศรีษะ ไมเกรน สับสน ขาดพลังทางจิตวิญญาณได้ คนนอนไม่หลับ ฟุ้งซ่าน เครียดสะสม ซึมเศร้า จึงในอเมทิสบำบัดได้ค่ะ

วิธีการก็คือวางอเมทิสไว้บนศรีษะ และทำสมาธิอย่างที่ปริณทำนี่ล่ะค่ะ ทำเองที่บ้านก็ได้
และที่สำคัญ เมื่อใช้หินบำบัดแล้ว ต้องล้างพลังลบออกด้วยนะคะ เพราะเค้าได้ดูดพลังลบจากเราออกไป อาจเกิดการสะสมในเนื้อหินได้



ปริณใช้วิธีแช่น้ำมนต์ค่ะ ที่บ้านจะมีน้ำมนต์จากศาลหน่าจาซาไท้จื้อ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปริณนับถือ นำหินอเมทิสที่ใช้บำบัดแล้วแช่น้ำมนต์ไว้ 1 คืนพร้อมเปิดเพลงสวดมนต์ให้เค้าฟังค่ะ และพูดกับเค้าว่าให้สลายพลังด้านลบออกไปกลับคืนสู่ธรรมชาติ ขอบคุณเค้าและบอกเค้าว่าให้กลับมาช่วยเราได้อีกต่อไปเรื่อยๆ เช้ามาก็นำน้ำนั้นเททิ้งไป และพักอเมทิสไว้บนผ้าสะอาดให้เค้าแห้งเองตามธรรมชาติ
เพียงเท่านี้เราก็มีหินบำบัดคู่ใจไว้ใช้ได้อีกนานเลยค่ะ เพื่อนๆ ลองนำวิธีของปริณไปใช้ดูนะคะ ได้ผลอย่างไรก็แจ้งให้ทราบบ้างค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ พบกันใหม่ในบทความ “คุณหินที่รัก” ตอนต่อไปค่ะ

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com 

ใส่หินกี่เส้นดี ใส่เลขคู่ เลขคี่ มีผลหรือไม่???

บทความ คุณหินที่รัก โดย ปริณ แก้ววัชรพล
ประจำวันที่ 18 มีนาคม 2558

ตอน : ใส่หินกี่เส้นดี ใส่เลขคู่ เลขคี่ มีผลหรือไม่???



สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ผู้รักและศรัทธาพลังหินทุกท่าน เชื่อว่า ณ วันนี้ เพื่อนๆหลายๆ คนคงมีสร้อยหินในครอบครองกันแล้วอย่างน้อยคนละหนึ่งเส้นสองเส้น หรือบางคนมีเป็นสิบๆเส้นแล้วนะคะ
หลังจากได้สวมใส่ ครอบครอง สัมผัสหินแล้ว บางคนก็มีประสบการณ์ดีๆมากมายที่แชร์กลับมาให้ปริณได้ทราบ แต่บางคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก ความแตกต่างนี้มีที่มาที่ไปนะคะ มีเหตุผลว่าทำไมคนจึงรับรู้ สัมผัส และได้รับพลังจากหินต่างกัน แต่ปริณจะยังไม่พูดเรื่องนี้ในบทความนี้ ท่านใดสนใจอยากรู้ ขอให้ติดตามบทความ คุณหินที่รัก ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ

เพราะวันนี้ปริณจะพูดถึงหลักการใส่หินที่ถูกถามเข้ามาบ่อยมากนะคะ ทั้งลูกค้า ไอ’สโตนเอง หรือจะเป็นคนอื่นๆ ที่ปริณรู้จัก หลายคนสงสัยว่า
“จะใส่สร้อยข้อมือหินครั้งละกี่เส้นดี ต้องใส่ลงเลขคู่ หรือเลขคี่จะดีที่สุด”???
สิ่งแรกที่ปริณทำ หลังจากได้รับคำถามนี้คือ ปริณก็พยายามนึกว่า เค้าใช้หลักการอะไรมาเป็นฐานวิธีคิดเรื่องจำนวนสร้อยหิน เราจะได้ไปหาข้อมูลได้ถูกทาง เพราะการจะทำอะไรต้องมีเหตุผลรองรับ การห้ามอะไรก็ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นพอที่เราจะเข้าใจ ไม่ใช่ทำเพียงท่องจำ และไม่รู้ว่าเหตุผลที่ให้ทำ หรือไม่ให้ทำสิ่งนั้นๆ เพราะอะไร?

ใช้หลักพลังหินเหรอ??
เราก็รู้มาว่าพลังหินวิ่งเป็นวงกลมในวงเส้นเดียวกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเส้นอื่นไหม

ใช้หลักศาสตร์ตัวเลขเหรอ??
ตัวเลขมงคลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วจะแนะนำให้ใส่กันยังไงดี??

พยายามหาข้อมูลจากหลายแหล่งค่ะ แต่ก็มาจบที่ว่า
“ใส่ตามที่เราอยากใส่ดีที่สุด” เพราะพื้นฐานแนวคิดที่เราใส่หินคือ ใส่ตามคุณสมบัติที่ต้องการให้หินส่งเสริม  ต้องการได้พลังส่งเสริมจากหินเป็นพิเศษด้านใดก็ใส่หินชนิดนั้นๆ
เช่น
เข้าพบผู้ใหญ่ >>> ใส่โรสควอส
ไปเสนองาน เจรจาธุรกิจ >>> ใส่มาลาไคท์ หรือ อะพาไทต์
ไปคุมงาน >>> ใส่ไทเกอร์อาย หรือ ซันสโตน
ช่วงสตรีมีรอบเดือน >>> มูนสโตน

ส่วนตัวเลขจำนวนนั้น ยังไม่ทราบเหตุผลจริง ๆ ว่าเพราะอะไรต้องคู่ เพราะอะไรต้องคี่ เมื่อถามกลับไปยังผู้ที่ถามคำถามนี้ ก็มักได้คำตอบเพียงว่า “เค้าว่ากันมาอย่างนี้” แล้วเค้าคือใคร ปริณจะได้ไปถามถูกว่าใช้หลักอะไร จะได้ไปศึกษาต่อว่ามีผลกับการใส่หินจริงหรือไม่
ปริณไม่ใช่คนที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนรู้อย่างเดียวนะคะ ปริณพร้อมจะศึกษาข้อมูลใหม่ๆ เพื่อมาประมวลความเชื่อตัวเองตลอดเวลา รีเช็คความเชื่อตัวเองตลอดเวลา ว่ามีข้อมูลนี้เพิ่มมา คุณยังเชื่อเหมือนเดิมไหม มีประสบการณ์ต่างๆเพิ่มขึ้นมาแล้ว คุณยังเชื่อสิ่งเดิมอยู่ไหม ใช้ชีวิตไปกับการตั้งคำถามค่ะ ทั้งโลก ทั้งเรา ต้องหมุนไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ตั้งตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ให้โลกมาหมุนรอบเรา เอาความเชื่อตัวเองไปใส่กับทุกสิ่ง ถ้าทำอย่างนั้น ความรู้เราจะเท่าเดิม

สรุปนะคะ....ใส่หินตามที่คุณสบายใจ ใส่แล้วสวย ใส่แล้วมั่นใจ สบายตัว นั่นล่ะค่ะดีที่สุดเลย....
สูงสุดคืนสู่สามัญ หากไม่แน่ใจในหลักการใดๆ ให้กลับไปที่สามัญสำนึกค่ะ อะไรที่เข้าใจได้โดยไม่ต้องทำความเข้าใจ นั่นคือหลักธรรมชาติ ซึ่งดีที่สุดสำหรับมนุษย์ค่ะ
ปล.หากมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมแชร์กลับมาได้ที่ปริณเลยนะคะ ยินดีรับค่ะ

ปริณ แก้ววัชรพล
www.MasterPrin.com